Orange Cheese Cake - Orange Cheese Cake นิยาย Orange Cheese Cake : Dek-D.com - Writer

    Orange Cheese Cake

    ว่ากันว่าความรักมีอายุไข ความรักเหมือนดอกไม้ แต่สำหรับใครบางคน รักอาจจะไม่แน่นอนเสมอไป

    ผู้เข้าชมรวม

    356

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    356

    ความคิดเห็น


    5

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 ก.พ. 52 / 07:06 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                      ว่ากันว่าความรักของคนเรานั้นมีอายุเปรียบเสมือนดอกไม้ เริ่มต้นจากดอกตูมเล็กๆและจึงค่อยๆผลิบานออกมาเป็นเป็นดอกไม้ที่เบ่งบานสวยงาม ต่อจากนั้นจึงค่อยๆเหี่ยวเฉาและโรยราไปในที่สุด แม้จะมีหลายๆคนที่เชื่อว่าความรักนั้นคือนิรันดรไม่มีวันเสื่อมสลายตามกาลเวลา แต่สำหรับผมแล้วนั้น....เลือกที่จะเชื่ออย่างแรกซะมากกว่า

                     

                     เรื่องของเรื่องมันเริ่มต้นตั้งแต่ผมยังเรียนอยู่ชั้น ม.6 ยังเป็นหนุ่มน้อยหน้ามลสุดป๊อปในกลุ่มนักเรียนสาวๆนที่ไม่มีใครไม่รู้จักผม วิรุจน์ แห่งม.6ห้อง1 และนั้นเองทำให้ผมหลงคำยุของเพื่อนๆให้ลองจีบดาวของโรงเรียน เธอชื่อว่า นิสา ที่เรียนระดับเดียวกันแต่ต่างกันที่เธออยู่ห้อง 2 ที่หน้าตาสวยระดับดารายังชิดซ้าย

        
                     เราทั้งคู่นั้นแทบจะไม่รู้จักกันเลย มีบ้างที่เคยเดินสวนทางรึเห็นหน้ากัน แต่ก็ไม่เคยเลยที่จะพูดคุยกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่ด้วยลูกยุของเพื่อนทั้งสองฝ่ายพวกเราจึงได้คบกันโดยที่ไม่รู้จักกันเลยแม้แต่น้อย

                     
                       
      ถึงมันจะลำบากในการที่จะต้องเริ่มทำความรู้จักกับคนที่ต้องมาเรียกว่าแฟนตั้งแต่ที่คบหากันก็ตาม แต่อย่างน้อยในสายตาของคนภายนอกเราก็เป็นคู่ที่เหมาะสมกันดี และก็เหมือนเราจะเข้ากันได้อย่างง่ายดายจนผมแทบจะคิดว่าฟ้าคงส่งให้เราเป็นคู่กัน
       

                  พอจบ ม.6 เราก็เอนทรานซ์ เข้ามหาลัยเดียวกันในฐานะแฟนและเลือกที่จะเรียนคณะเดียวกัน จนเหมือนกับว่าวันทุกวันของเราช่างมีความสุขราวกับในหนังสือการ์ตูนสักเรื่องเลยก็มิปานจนกระทั่ง......

       

                      5 ปีผ่านไปนับจากวันที่เราเริ่มคบกันเป็นแฟน ณ ตอนนี้เราก็ยังคบกันเป็นแฟนอยู่แต่เหมือนบางอย่างมันเกิดขึ้น อาจจะเป็นเพราะเราเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ไวจนเกินไปจนความรู้สึกน่าค้นหาของ นิสา ที่มีต่อผมมันหมดไปเธอกลายเป็นแค่คนสวยคนนึงที่เจอกันทุกๆวันในสายตาผม

                 

                  ส่วนเธอนั้นก็เช่นเดียวกัน พอรู้จักกันมากขึ้นก็ยิ่งจับโกหกผมได้มากขึ้นไม่ว่าจะโกหกรึหลอกอะไรไปเธอก็จะต้องรู้ทันผมก้าวนึงเสมอไม่เคยเลยที่ผมจะหลอกเธอได้สำเร็จสักครั้งแม้ว่าจะแอบหนีไปเล่นเกมกับเพื่อนๆ รึชิ่งไปเที่ยวตามผับต่างๆ เธอก็มักจะตามไปเจอผมได้ทุกครั้งไป

       

                      แล้ว...แบบนี้จะมีผู้ชายที่ไหนทนได้กันล่ะครับ ทนที่จะต้องอยู่กับผู้หญิงที่รู้ทันเราไปซะทุกอย่างเมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วผมจึงตัดสินใจที่จะบอกเลิกกับเธอในวันนี้ วันครบรอบ5ปีที่เราเป็นแฟนกันและนัดกันไปเที่ยวเพื่อสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แต่ทว่าวันนี้ล่ะที่ผมนั้นจะต้องขอเลิกกับเธอให้จงได้

       

      8.30 เช้าวันเสาร์ : กริ้ง~~กริ้ง~~ เสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น

       

      โอย....ใครมันโทรมาตั้งแต่เช้าล่ะฟะเนี่ย เมื่อคืนก็เล่นเกมจนตี5ปัสจะด่าซะให้ ผมบ่นงัวเงียขณะเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์ข้างหัวเตียงอย่างหงุดหงิด

      ฮัลโหลผมพูดอย่างเสียงแข็งเตรียมตัวที่จะด่าทันทีถ้าสายที่โทรมานั้นเป็นพวกโทรผิดรึไม่ก็เป็นเรื่องไร้สาระ

       

      ฮา….โหล รุจน์ ตื่นได้แล้วจ้าเสียงพูดที่สดใสตั้งแต่คำแรกนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นก็คือนิสานั่นเอง

      เสียงแบบนี้แสดงว่า เมื่อคืนเล่นเกมจนเช้าอีกแล้วล่ะสิเธอกล่าวดักคอผมทันทีราวกับมีตาเห็น

       

       

      ปะ...เปล่านะ ตื่นตั้งนานแล้วพอดีเมื่อกี้มีพวกโรคจิตโทรมาก็เลยด่าไป แล้วนี่คิดว่ามันโทรมาอีกน่ะแม้จะรู้ว่าถูกจับได้แต่ผมก็พยายามที่จะแถออกไปไม่ยอมรับความผิด

       

      เหรอ..ตื่นนานแล้วเหรอนิสาเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์

      ถ้างั้นก็แปลว่าอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วสิน้า เพราะวันนี้เป็นวันสำคัญของพวกเรานี่นา

       

      เวนล่ะ วันนี้เรานัดนิสาไปฉลองครบรอบ5ปีที่สวนสนุกนี่นา ผมแอบคิดในใจ

      นะ....แน่นอนตอนนี้กำลังจะออกไปเลยเมื่อโกหกครั้งที่หนึ่งก็ต้องมีโกหกครั้งที่สอง ผมจึงพูดออกไปทั้งที่ไม่ทันคิด

       

      แต่แล้วด้วยปากพล่อยๆของผมก็พาซวยจนได้ แหม ดีจังสาก็กำลังจะออกไปพอดีอีก10นาทีน่าจะถึง นี่ยังคิดอยู่เลยว่าออกมาไวไปรึเปล่าน้า

       

      อะ...อ่า ได้เลยผมคงไปถึงช้ากว่าสาสักนิดนะเดี๋ยวว่าจะแวะทำธุระให้แม่ด้วยสุดท้ายก็ได้แต่หาทางยื้อเวลาออกไป

       

      จ๊ะ ถ้างั้นสาจะรอหน้าประตูทางเข้านะจ๊ะ รุจน์รีบๆมาน้าพูดจบสาก็วางสายไป

       

                      ในขณะที่โลกไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่เวลาของผมราวกลับแล่นไวผิดปกติเรื่องกายเคลื่อนไวว่องไวประดุจแรงฮึดตอนไฟไหม นับจากดีดตัวผึงลุกขึ้นจากเตียง จวบจนล้างหน้าแปรงฟันแต่งตัวเสร็จสิ้นภายในไม่ถึงสามนาที

                  เลยแต่งตัวลวกๆได้แค่กางเกงยีนส์ที่ตากไว้ยังไม่ได้รีด กับเสื้อยืดในตู้ที่หลับหูหลับตาหยิบออกมาสีแดงแป๊ดมิหนำซ้ำยังลากแตะคู่ลุยคู่ยากไปอีกเรียกได้ว่าสภาพนั้นโทรมสุดๆ

       

                      จากนั้นผมก็รีบนั่งแท็กซี่เพื่อมุ่งไปยังจุดนัดหมายอย่างทันทีทันใด สายตาก็จดจ่ออยู่กับนาฬิกาตลอดเวลา แม้แต่ตอนลงรถผมยังรีบจ่ายเงินโดยไม่รอเอาเงินทอนด้วยซ้ำไป ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมไปถึงหลังจากเวลาที่สาบอกแค่5นาที

                      แต่พอไปถึงก็ยังไม่เห็นสาก็รู้สึกโล่งใจเล็กๆจึงคาดว่าเธอคงไปห้องน้ำรอเพราะคงไม่คิดว่าผมจะมาไวขนาดนี้ ผมจึงเดินไปยืนรอตรงจุดนัดพบแทน

       

                      5นาทีผ่านไป.....ผู้หญิงก็เข้าห้องน้ำนานแบบนี้ล่ะน่า

                      15นาทีผ่านไป....คงไปเดินดูของข้างนอกด้วยล่ะมั้งก็ผู้หญิงชอบช๊อปปิ้งนี่นา

                      30นาทีผ่านไป....ทำอะไรอยู่นะยัยนั่นรู้แบบนี้ไม่น่ารีบออกมาเลยจริงๆ

                     

                  ผมรอสาอยู่นานเกือบ50นาทีจนพึ่งจะนึกขึ้นได้ว่าทำไมไม่โทรหานะมือถือก็มี จึงไม่รีรอที่จะยกหูขึ้นมาโทรหาสาทันที โดยในใจก็คิดบ่นไปต่างๆนาๆ

       

       

       

       

      เอ ทำไมไม่รับสายนะมัวไปทำอะไรอยู่นะเนี่ยผมยืนกอดอกโทรด้วยอารมณ์ชักจะหงุดหงิดหวังว่าถ้ารับสายแล้วจะโวยสักหน่อย แต่สาก็ไม่ยอมรับสายสักที

       

                      ขณะที่ผมกำลังง่วนอยู่กับโทรศัพท์นั่นเอง จู่ๆก็มีคนมาผลักผมข้างหลังอย่างแรงจนเกือบที่จะล้มหัวทิ่มไปข้างหน้า ผมที่ตกใจรีบทรงตัวให้อยู่ก่อนจะตั้งท่าหันไปตวาดเจ้าบ้าคนนั้นด้วยความโมโหสุดขีด

       

                      ทว่าเมื่อผมหันกลับไปเห็นเจ้าคนที่มันผลักผมนั้นกลับเป็นนิสานั่นเองที่ผลักผม ถึงปกติผมก็ยอมรับนะว่าเธอคือคนสวยคนหนึ่ง แต่วันนี้กลับยิ่งพิเศษ ทั้งทรงผมที่ยาวสลวยถูกเซ็ทมาอย่างดีใบหน้าที่แต่งเติมพอเหมาะไม่เข้มรึอ่อนเกินไป ชุดที่สาใส่ในวันนี้ก็เป็นชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนสีสวยใสเข้ารูป รับกับใบหน้าของเธอจนแฟนอย่างผมยังต้องตาค้างไปทีเดียว

       

      ขอโทษน้า รุจน์ พอดีสาลืมของไว้ที่บ้านเลยต้องย้อนกลับไปเอาเลยมาสายเลยสารีบขอโทษขอโพยผมทันทีแต่ใบหน้าก็ยังคงยิ้มละไมอย่างหวานจับใจ

       

      อ่อ เอ่อ ไม่เป็นไร รุจน์ก็พึ่งทำธุระให้แม่เสร็จมาก่อนสาแค่5นาทีเอง ถึงใจผมจะแอบสงสัยว่านี่เป็นแผนของสาก็เถอะแต่ก็ต้องยอมเธอไปเพราะตั้งแต่แรกแล้วคนที่ผิดก็คือผมเอง ถึงจะเข้าใจแต่มันรู้สึกแพ้จริงๆ

       

      หืม ดูสิเนี่ยรุจน์นี่อย่างกับเด็กเลยในระหว่างที่ผมกำลังเจ็บใจอยู่นั่นเองจู่ๆสาก็พูดขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าผม

       

      แล้วจากนั้นสาก็เขย่งเข้ามาใกล้ตรงหน้าผม ใกล้เสียจนจมูกของสามาจ่ออยู่ตรงปากของผมพอดี ดูสิเศษใบไม้ร่วงติดที่ผมยังไม่รู้ตัวอีก คิกคิก กว่าจะรู้ตัวอีกทีเธอก็เอื้อมมือมาหยิบเศษใบไม้บนหัวผมออกไปแล้ว

       

                      แต่ใจผมในตอนนั้นมันราวกับได้หยุดเต้นไปเสี้ยววินึงแล้ว เพราะด้วยรอยยิ้มที่เธอส่งมามันช่างหน้าราวกับรุ่งอรุณยามเช้าที่แสนสดใส อบอุ่นและเบิกบานจนทำเอาผมลืมความโกรธต่างๆไปในคราเดียว

       

                  สุดท้ายผมก็โดนหมัดเด็ดของเธอจนลืมทุกอย่างไปหมด แต่ก็เอาเถอะ จะได้จัดแจงรายการสำหรับวันนี้เสียที อย่างน้อยๆวันนี้หนังเรื่องที่อยากดูก็เข้าโรงพอดีซะด้วย

       

      วันนี้สามีที่ๆอยากไปบ้างรึเปล่าผมหยอดคำถามไปเพื่อจะได้บอกเธอว่าอยากจะไปดูหนัง

       

      วันนี้มีหนังเรื่องที่สาอยากดูเข้าพอดี ถ้ายังไงเราไปดูหนังกันได้ไหมสาตอบ

       

      จริง เหรอเนี่ย ผมก็อยากดูหนังอยู่พอดีเลย เรานี่ใจตรงกันจริงๆผมดีใจมากจนเก็บอาการไม่อยู่เพราะจะได้ดูหนังเรื่องที่ต้องการ

       

      ว้าว ดีใจจังไม่รู้นะเนี่ยว่ารุจน์ก็ชอบหนังผีกับเขาด้วยสาก็ตอบรับผมอย่างดีใจ แต่ทว่าปัญหาใหม่ของผมเริ่มจะมาถึง

       

       

      นะ...หนังอะไรนะครับสาผมถามสากลับไปพร้อมรู้สึกไม่เข้าท่าเพราะหนังที่ผมหมายถึงมันเป็นหนังแอ๊คชั่นบู๊ล้างผลาญนี่นา

       

      ก็หนังที่เรากำลังจะไปดูคือเรื่อง หลอนกระชากวิญญาณ ไม่ใช่เหรอคำตอบของผมทำให้นึกสิ่งที่ลืมไปจนสนิทขึ้นมาได้ ว่าถึงเราจะเข้ากันได้ดีในทุกๆเรื่องแต่เรื่องที่ต่างกันมากก็คือ สาชอบดูหนังสยองขวัญมาก ส่วนผมนั้นกลัวผีสุดๆ

       

      ไม่ใช่แล้วนะสา

      สาก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าผมไม่ชอบหนังผี แล้วทำไมถึงยังจะไปดูหนังแบบนั้นอีกผมรีบเสียงแข็งตอบทันที

       

      สะ...สาขอโทษ รุจน์อย่าโกรธสาเลยนะเธอรีบขอโทษทันทีโดยไม่ต้องเอ่ยถามเมื่อเห็นผมเกรี้ยวกราดใส่

       

                      จากคำๆนั้นพวกเราทั้งสองไม่ได้พูดอะไรออกมาต่อเลย แม้จะเพียงช่วงสั้นๆเพียงไม่กี่นาที แต่ในหัวผมนั้นกลับรู้สึกราวกับว่ามันยาวนานเป็นชั่วชั่วโมงๆ แต่แล้วจากนั้น สา ก็เอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบนั้น

       

      แล้วรุจน์ อยากดูเรื่องอะไรเหรอจ๊ะ ดูเรื่องที่รุจน์อยากดูก็ได้สา เอ่ยขึ้นอย่างใจเย็นโดยเป็นฝ่ายยอมให้ผม

       

      อะ..เอ่อ...ผมอยากดูเรื่อง ล่าเดนทรชนครับผมตอบออกไปทั้งที่ยังรู้สึกผิดที่เผลอตวาดเธอออกไป แต่ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ลืมมันซะ

       

      งั้นเรา รีบไปจองตั๋วกันเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันสารีบกล่าวออกมาทั้งรอยยิ้มเปื้อนหน้าอารมณ์ของเธอช่างเปลี่ยนไปไวจนผมตามแทบไม่ทัน

       

                      จากนั้นเราทั้งคู่จึงเข้าสู่สภาวะปกติและรีบเดินไปจองตั๋วหนังรอบที่ใกล้ที่สุด ระหว่างทางนั้นก็เดินมองรอบๆเพื่อจะสำรวจหาเครื่องเล่นที่ถูกใจเล่นกันเป็นโปรแกรมถัดไป  ผมนั้นเลือกที่จะเดินนำหน้าสาอยู่นิดหน่อยและจะคอยหันกลับมาคุยเป็นระยะๆ

       

                      ระหว่างทางนั้นผมคิดเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้นคือผู้หญิงนี่เดินช้าจริงๆนะ หลายครั้งที่ผมต้องชะลอฝีเท้าให้ช้าลงไม่ให้เดินนำหน้าสาจนเกินไป จนบางครั้งผมก็อยากที่จะจูงมือเธอเดินไปด้วยกันตามประสาคู่รักที่คบกันมา 5 ปีแล้วก็ตามแต่ผมก็อายจนไม่กล้าเอื้อมมือออกไปจับมือเธอสักครั้ง

       

                      ไม่นานนักก็มาถึงโรงหนังพอดีกับใกล้เวลาหนังฉายผมจึงบอกให้สาไปซื้อเครื่องดื่มส่วนผมไปเข้าคิวรอซื้อตั๋ว เสร็จสรรพก็รีบเข้าโรงหนังทันทีและเตรียมพร้อมที่จะสนุกกับมนอย่างเต็มที่

       

                      เวลากว่าสองชั่วโมงในโรงหนังผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ทำให้ผมผิดหวัง เพราะความสนุกสนานนั้นเกินความคาดหมายของผมมาก จนทำเอาผมรู้สึกว่าสองชั่วโมงที่เสียไปมันช่างรวดเร็วเสียเหลือเกิน จนแม้กระทั่งหนังจบไปแล้วแต่ผมก็ยังคงพูดถึงมันไม่หยุด

       

       

      ตื่นเต้นมากเลยนะ สา ฉากนั้นผมคิดว่าจะไม่มีใครรอดซะแล้วผมคุยฟุ้งขึ้นขณะทานข้าวกันในร้านอาหารใกล้ๆโรงหนังหลังจากหนังจบไป

       

      จ๊ะ แต่สาว่าตรงฉากจบไม่ดีเลยที่สุดท้ายแล้วนางเอกก็ตาย ทั้งคู่น่าจะได้อยู่ด้วยกันสาก็ร่วมคุยกับผมด้วยอย่างสนุกสนาน

       

      แหม แต่ว่านี่มันหนังแอ๊คชั่นนะ ไม่ใช่หนังรักโรแมนติคที่พอตอนจบพระเอกกับนางเอกต้องได้อยู่ด้วยกันแต่ผมก็แย้งเธอกลับไป

       

      แต่สาว่ามันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องจบแบบนี้นี่นา เพราะหนังมันก็คือจินตนาการไม่มีบทสรุปตายตัวไม่ใช่เหรอแต่แล้วผมก็ถูกเธอย้อนกลับมาด้วยเหตุผลซึ่งส่วนหนึ่งพอได้ยินผมก็รู้สึกเห็นด้วยกับเธอทันที

       

      ผู้หญิงก็แบบนี้แหละไม่ได้เข้าใจอะไรเลยแต่ด้วยทิฐิผมจึงพูดออกไปอย่างไม่ยอมแพ้

      ว่าแต่ เดี๋ยวเราจะไปเล่นอะไรกันดี สามีอะไรที่อยากจะเล่นไหมจากนั้นผมจึงรับเปลี่ยนเรื่องโดยทันที

       

      อืม..สาอยากไปถ่ายรูปที่ระลึก แล้วก็ไปเล่นรถไฟเหาะ แล้วก็ไปปราสาทผีสิงจ๊ะสาก็ยิ้มตอบรับผมอย่างเบิกบาน ทำให้ผมรู้สึกโล่งอกที่สาไม่ได้เก็บเรื่องเมื่อกี้มาเป็นอารมณ์

       

      ถ้าอย่างนั้นพวกเรารีบทานแล้วไปกันเถอะ เดี๋ยวจะมืดซะก่อน

       

      รู้นะว่า กลัวปราสาทผีสิงใช่ไหมล่ะและยิ่งทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อสายังคงยิ้มกระเส้าเย้าแหย่ ได้อย่างร่าเริง ทำให้ผมอดรู้สึกเสียดายนิดๆไม่ได้ที่หลังจากวันนี้พวกเราจะต้องเป็นคนอื่นกันไปแล้ว

       

                  จากนั้นพวกเราก็เริ่มไปเล่นตามเครื่องเล่นต่างๆที่ได้ตกลงกันไว้ จะด้วยเพราะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ๆ ผมรู้สึกสนุกกับมันมาก แม้แต่ปราสาทผีสิงที่ไม่เคยชอบ วันนี้ก็กลับรู้สึกว่าไม่เลวนัก อาจจะเป็นเพราะสาที่คอยยิ้มอย่างสนุกสนานตลอดเวลารึไม่ก็เพราะว่าหลังจากนี้ชีวิตผมจะมีอิสระเต็มที่กันแน่

       

                  พวกเราตระเวนเล่นเครื่องเล่นตามแผนที่วางไว้จนครบถ้วน แต่เวลาในขณะนั้นพึ่งจะแค่6โมงเศษ ซึ่งก็ยังไวเกินไปที่จะกลับบ้านกัน พวกเราจึงมานั่งคิดที่โต๊ะกลางสวนสนุกคุยกันว่าจะเล่นอะไรต่อฆ่าเวลาเป็นอย่างสุดท้ายก่อนกลับบ้าน

       

                      เมื่อปรึกษากันเรียบร้อยแล้วจึงได้ข้อสรุปว่า พวกเราจะนั่งชิงช้าสวรรค์เป็นที่สุดท้ายก่อนกลับ ซึ่งผมก็คิดว่าจะบอกเลิกเธอที่ตรงนั้นเลยถ้าเผื่อมีอะไรคาใจจะได้คุยกันให้จบๆไปซะ

       

                      และเมื่อพวกเรามาขึ้นไปเล่นบนชิงช้าสวรรค์แล้วนั้น ผมไม่รีบร้อนที่จะบอกสาทันที แต่จะปล่อยให้เธอซึมซับบรรยากาศที่มีความสุขให้เต็มที่ก่อน ถือซะว่าเป็นน้ำใจครั้งสุดท้ายที่จะมอบให้ได้ และเมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึงผมก็รวบรวมความกล้าและกล่าวออกไปว่า

       

       

       

       

      สา...ผมกล่าวออกไปในพร้อมๆกับที่สาเอ่ยชื่อผมขึ้นมาพอดีรุจน์ด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำจนรู้สึกได้ทำเอาผมรู้แปลกๆทันทีที่ได้ยิน

       

      อ่า..สา มีอะไรเหรอ พูดมาก่อนสิด้วยความประหม่าผมจึงให้สาเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน

       

                  แต่ก็หาได้มีเสียงใดๆตอบกลับมาจากสาในทันที บรรยากาศที่สดใสร่าเริงแปรเปลี่ยนไปเป็นความเย็นชาที่สะท้อนผ่านแววตาของเธอ

       

      พวกเรา..เลิกกันเถอะนะและสา ก็พูดคำๆนี้ออกมา เป็นคำที่ผมหมายมั่นที่จะพูดกับเธอเพื่อที่ให้เราจบกัน

       

                      แทนที่ผมจะดีใจ หลังจากสาเป็นฝ่ายขอตัดความสัมพันธุเอง แต่ความรู้สึกนั้นกลับตรงกันข้าม เมื่อผมเป็นฝ่ายถูกบอกเลิก ราวกับว่าความหนาวเหน็บทั้งมวลในโลกนี้ประดังเข้ามาเสียดแทงหัวใจของผม ภาพต่างๆที่พวกเราได้ทำร่วมกันมาสะท้อนขึ้นในหัวผมทันใด

       

                      ทั้งๆที่ตัวผมเองก็อยากจะเลิกกับเธอ และเมื่อเธอเป็นฝ่ายพูดออกมาเอง แต่ผมนั้นก็ไม่เข้าใจตัวเองแม้แต่น้อยว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นมานั้นมันคืออะไร ใจผมเต้นระรัว ใบหน้าเย็นจับ ความกล้าที่เคยเตรียมไว้เพื่อจะเป็นฝ่ายขอเลิกบัดนี้กลับหายไป

       

      ทำไมถึงพูดแบบนี้ออกมาล่ะแทนที่จะกล่าวตอบรับอย่างลิงโลด ผมกลับถามออกไปทั้งที่ปากสั่นโดยไม่รู้ตัว

       

      เพราะรุจน์ ก็คิดแบบนี้ไม่ใช่เหรอ สาตอบมาอย่างแทงใจดำของผมซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้ผมเจ็บมากขึ้น

      เวลาเดินด้วยกัน รุจน์ไม่เคยเลยที่จะจับมือสาเอาไว้

       

      นั่นก็เพราะว่า.. ผมพยายามจะเอ่ยแย้ง

       

      เวลาจะทำอะไร รุจน์ก็มักจะใช้ความคิดของตนเองเป็นฝ่ายนำเสมอแต่ก็ไม่ทันที่จะเอ่ยจนจบสาก็ชิงพูดต่อซะก่อน

      หากต้องคิดอะไรที่สวนทางกัน สา ก็ต้องเป็นฝ่ายยอมที่จะถอยไป เพราะรุจน์ไม่เคยเลยที่จะเป็นฝ่ายยอมถอย

      สาเหนื่อยแล้วที่จะต้องยิ้มให้รุจน์ตลอดเวลา และต้องทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สาฝืนที่จะยิ้มให้กับรุจน์ต่อไปไม่ไหวแล้ว

       

                      ถึงตรงนี้น้ำตาของสานั้นก็ไหลอาบแก้มตัวสั่นเทาราวกับลูกนกขณะพูดแต่ละคำออกไป ขณะที่แววตาของเธอนั้นสะท้อนถึงความเจ็บช้ำในทุกๆคำพูดที่กลั่นกรองออกมาจากใจ 1หยดน้ำตาที่รินไหลออกมานั้นราวกับเลือดของผมที่ถูกสูบออกไป ราวกับมีดแหลมคมที่กรีดกลางใจผมให้รู้สึกผิดต่อสิ่งที่ทำมา

       

                      พอดีกันนั้นกับที่ชิงช้าสวรรค์ของพวกเราวนครบรอบพอดี และเมื่อประตูถูกเปิดออกสาก็วิ่งออกไปทั้งยังร้องไห้ทันทีโดยไม่ได้หันกลับมามองผมแต่อย่างใด

       

       

       

                      ผมไม่ทราบว่าสิ่งใดที่ดลบันดาลใจผมในขณะนั้น อาจจะเป็นด้วยสัญชาติญาณรึด้วยจิตใต้สำนึกก็ตาม แต่ขาผมก็ได้วิ่งตามเธอออกไปในทันทีโดยหัวของผมนั้นมีแต่ความว่างเปล่าไม่ได้คิดถึงเหตุและผลใดๆเลย ในหัวรู้แต่ว่าต้องตามไปแค่นั้น

       

                      ผมริบวิ่งไปอย่างไม่สนสิ่งรอบข้าง จนในที่สุดผมก็ตามเธอทัน และ ขว้ามือเธอไว้ได้ในที่สุด เมื่อเธอหันหน้ามาภาพแรกที่ผมเห็นนั้นคือใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตา สีหน้าที่เศร้าสลดดวงตาที่แดงก่ำ

       

                      และแทบจะทันใดนั้นเองที่ผมเห็นใบหน้าของเธอผมได้ดึงเธอเข้ามากอดโดยไม่สนใจว่ารอบข้างนั้นจะมีผู้คนมากน้อยเพียงใดเฝ้ามองผมอยู่ ผมกอดเธออย่างแนบแน่นราวกับว่ากลัวเธอจะหนีหายไป พร้อมทั้งกระซิบข้างหูเธอเบาๆว่า

       

      ผมขอโทษต่อทุกสิ่งที่ได้ทำลงไป ทุกสิ่งที่ทำให้สาเสียใจ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าสานั้นสำคัญกับชีวิตผมแค่ไหน ผมไม่อาจอยู่โดยที่ขาดสาได้ ได้โปรดให้โอกาสผมได้อยู่เคียงข้างสาอีกครั้งเถอะ แล้วผมสัญญาว่าจะทำให้สามีความสุขให้ได้

       

                      เมื่อผมพูดจบราวกับว่าทุกสิ่งนั้นหยุดนิ่ง มีเพียงความวิตกในใจของผมเท่านั้น ที่กังวลว่าถ้าหากไม่ได้รับการให้อภัยจะเป็นเช่นไร ชีวิตนี้จะอยู่ยังไงหากขาดเธอคนนี้ไป บ้างก็ต่อว่าตัวเองว่าทำไมถึงได้คิดอะไรโง่ๆเช่นขอเลิกกับเธอด้วยนะ

       

                      แต่แล้วคำบรรยากาศนั้นก็ได้ถูกทำลายลง ด้วยเสียงที่อ่อนหวานของสาที่อยู่ภายใต้อ้อมกอดของผม เธอพูดออกมาอย่างแผ่วเบาว่าสา เข้าใจแล้วจ๊ะ รุจน์ปล่อยสาเถอะนะ สาจะไม่ไปไหนแล้ว

       

                  ราวกับน้ำทิพย์ที่ราดรดลงมากลางใจผมที่กำลังเหี่ยวเฉาให้ฟื้นคืนมาได้ ใจที่กำลังเหี่ยวเฉาเพราะรู้ตัวว่าทำผิดพลาดลงไปแต่แล้วก็กลับฟื้นคืนมาได้ด้วยเสียงที่อ่อนโยนของสา

       

                      แต่แทนที่ผมจะปล่อยเธอทันทีผมกลับยิ่งกอดเธอแน่นขึ้นไปแน่นขึ้นไปอีก และพูดขอบคุณข้างหูเธอซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่จบ ท่ามกลางเสียงปรมมือจากคนรอบข้าง วันนี้จึงทำให้ผมได้รู้ว่าผมนั้นโง่เพียงใดที่คิดจะขอเลิกกับเธอ และผมก็ได้รู้ใจตนเองว่าผมนั้นรักเธอเพียงใด

       

      .

       

      .

       

      .

       

      แต่ว่าน้า รุจน์ก็ไม่รู้หรอกว่าสารักรุจน์แค่ไหน ขอโทษด้วยนะจ๊ะที่ต้องทำแบบนี้ ก็สารักรุจน์มากนี่นาเรื่องอะไรจะยอมให้รุจน์บอกเลิกกับสาไปได้ล่ะ และนั่นก็เป็นอีกหนึ่งความจริงในใจของสาที่ไม่มีใครทราบเลยนอกจากพระเจ้าเพียงผู้เดียว...

       

                     

       

       

       

       

       

       

       

       

                     

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×